อาชีพที่ใฝ่ฝัน
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553
มาพบจิตแพทย์แล้วจิตแพทย์ทำอย่างไร ?
การพบจิตแพทย์ก็คล้าย ๆ กับพบแพทย์ทั่ว ๆ ไปล่ะครับ จะมีการถามประวัติความไม่สบายที่ต้องมาพบแพทย์และมีการตรวจสภาพจิต และอาจตรวจร่างกายด้วยถ้าแพทย์คิดว่ามีอะไรที่จะต้องตรวจดู แพทย์จะถามประวัติเกี่ยวกับอาการทางร่างกายที่เกิดขึ้น เช่น ปวดหัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เรี่ยวแรงไม่ค่อยมี นอนหลับยาก ตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อยาก ฯลฯ ประวัติเกี่ยวกับอาการทางจิตใจ เช่น หงุดหงิด โมโหง่าย ร้องไห้ง่าย คิดอะไรซ้ำ ๆ วนเวียน หรือความคิดไม่แล่นคิดอะไรไม่ออก ฯลฯ
นอกจากนี้แพทย์จะถามถึงความเป็นอยู่เช่น เป็นใคร ทำอาชีพอะไร บ้านอยู่ไหน แต่งงานแต่งการหรือยัง มีลูกกี่คน ถามถึงว่าช่วงนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งที่ดี และที่ไม่ดี และผู้ป่วยรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนั้นและทำอย่างไรไป ถามประวัติส่วนตัวในอดีตเช่น พ่อแม่ทำอาชีพอะไร ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไร ฯลฯ เพื่อจะได้เข้าใจว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญนั้นขึ้น ทำไมผู้ป่วยจึงตัดสินใจทำแบบนั้น หรือทำไมจึงเกิดความรู้สึกแบบนั้น
ในการตรวจสภาพจิต จิตแพทย์จะดูตั้งแต่ท่าทาง การแต่งเนื้อแต่งตัว การพูดจา เพราะแค่นี้ก็พอบอกอะไรได้ตั้งหลายอย่างแล้ว เช่น คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักไม่ค่อยแต่งตัวไม่ค่อยแต่งหน้า คนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำอาจจดที่หมอพูดทุกคำหรืออัดเทปไว้ด้วย คนที่เป็นโรคอารมณ์ดีผิดปกติมักพูดมาก เสียงดัง พูดไปหัวเราะไป คนที่เป็นโรคจิตคุยไปอาจต้องเอานิ้วมาทัดหูไป เพื่อเป็นเสาอากาศไว้ส่งกระแส ฃจิต ฯลฯ นอกจากนี้แพทย์อาจถามคำถามบางอย่างเพื่อตรวจดูความคิด ความจำ สมาธิ การตัดสินใจของผู้ป่วยด้วยเช่น ให้จำของ 3 อย่าง ให้ทำ 100-7 ถามคำพังเพย ฯลฯ และเมื่อได้ข้องมูลมากพอจิตแพทย์จะเริ่มให้การรักษา
แล้วผู้ป่วยต้องทำอย่างไรบ้าง ?
สิ่งที่เราต้องทำเมื่อพบจิตแพทย์คือเล่าปัญหาให้แพทย์ฟัง ทั้งอาการไม่สบายที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทำให้เราเครียด ชีวิตส่วนตัวทั้งในปัจจุบันและในอดีต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แพทย์จะค่อย ๆ ถามให้ผู้ป่วยเล่าออกมาได้เองโดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นจะต้อง "ท่องมา" หรือ "เรียบเรียง" เอาไว้ก่อน ผู้ป่วยเพียงแต่เล่าตามที่แพทย์ถามเท่าที่จะเล่าได้ เรื่องที่ลำบากใจยังไม่อยากเล่าก็เก็บไว้ก่อน เอาไว้พร้อมที่จะเล่าแล้วค่อยเล่าก็ได้ จิตแพทย์จะไม่คาดคั้นเอาให้ได้ครับ
จากนั้นก็ให้ฟัง!เมื่อแพทย์ได้ข้อมูลมากพอแพทย์จะอธิบายว่าท่านป่วยเป็นอะไร จะต้องปฏิบัติอย่างไร ตรงนี้ให้ตั้งใจฟัง อาจถามแพทย์ตรงที่ไม่ค่อยเข้าใจหรือให้ข้อมูลเพิ่ม ในกรณีที่ฟังแล้วมันไม่ใช่ไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่งานหลักในช่วงนี้คือ ฟัง เพราะการพูดแทรกเกินจำเป็นจะทำให้เสียเวลามาก และแพทย์อาจตัดทอนเรื่องที่จะอธิบายบางเรื่องออกไปทำให้ผู้ป่วยเสียประโยชน์
จิตแพทย์เอาแต่ให้ยาใช่หรือไม่ ?
การรักษาทางจิตเวชนั้นมีทั้งการรักษาด้วยยาและการรักษาทางจิตวิทยา (ให้คำปรึกษา จิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด ฯลฯ) โรคบางโรคเรารักษาด้วยวิธีทางจิตวิทยาเป็นหลัก แต่ในบางโรคต้องรักษาด้วยยาเป็นหลัก และบางโรครักษาด้วยทั้ง 2 วิธีร่วมกัน โดยทั่วไปจิตแพทย์จะให้การรักษาทางจิตวิทยาด้วยทุกครั้ง สั้นบ้างยาวบ้าง ขึ้นกับความจำเป็น และสถานการณ์ เช่น ถ้ามีเวลามากแพทย์อาจให้คำปรึกษา หรือทำจิตบำบัดรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งค่อนข้างนาน แต่ในกรณีที่ข้างนอกยังมีผู้ป่วยรออีกหลายคน แพทย์อาจเพียงให้คำแนะนำสั้น ๆ แต่ถ้าผู้ป่วยกำลังมีอาการมาก และจำเป็นต้องให้การบำบัดทางจิตวิทยา แพทย์ก็อาจจะจำเป็นจะต้องปล่อยให้คนข้างนอกรอนานหน่อย
ผู้ป่วยหลาย ๆ คนมักกลัวว่าจิตแพทย์จะให้กินยาแล้วจะติดยา เลิกไม่ได้ หรือกลายเป็น "ซอมบี้" ไป ยานั้นอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดของผู้ป่วยก็จริง แต่ยามีประโยชน์และช่วยให้ผู้ป่วยสบายเร็วขึ้น ยาทางจิตเวชในปัจจุบันมีความปลอดภัยสูง มีทั้งชนิดที่ทำให้ง่วงและชนิดที่ไม่ทำให้ง่วง และยาส่วนใหญ่ไม่เสพติดโดยเฉพาะเมื่อใช้ให้ถูกวิธี
นอกจากนี้แพทย์จะถามถึงความเป็นอยู่เช่น เป็นใคร ทำอาชีพอะไร บ้านอยู่ไหน แต่งงานแต่งการหรือยัง มีลูกกี่คน ถามถึงว่าช่วงนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งที่ดี และที่ไม่ดี และผู้ป่วยรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนั้นและทำอย่างไรไป ถามประวัติส่วนตัวในอดีตเช่น พ่อแม่ทำอาชีพอะไร ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไร ฯลฯ เพื่อจะได้เข้าใจว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญนั้นขึ้น ทำไมผู้ป่วยจึงตัดสินใจทำแบบนั้น หรือทำไมจึงเกิดความรู้สึกแบบนั้น
ในการตรวจสภาพจิต จิตแพทย์จะดูตั้งแต่ท่าทาง การแต่งเนื้อแต่งตัว การพูดจา เพราะแค่นี้ก็พอบอกอะไรได้ตั้งหลายอย่างแล้ว เช่น คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักไม่ค่อยแต่งตัวไม่ค่อยแต่งหน้า คนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำอาจจดที่หมอพูดทุกคำหรืออัดเทปไว้ด้วย คนที่เป็นโรคอารมณ์ดีผิดปกติมักพูดมาก เสียงดัง พูดไปหัวเราะไป คนที่เป็นโรคจิตคุยไปอาจต้องเอานิ้วมาทัดหูไป เพื่อเป็นเสาอากาศไว้ส่งกระแส ฃจิต ฯลฯ นอกจากนี้แพทย์อาจถามคำถามบางอย่างเพื่อตรวจดูความคิด ความจำ สมาธิ การตัดสินใจของผู้ป่วยด้วยเช่น ให้จำของ 3 อย่าง ให้ทำ 100-7 ถามคำพังเพย ฯลฯ และเมื่อได้ข้องมูลมากพอจิตแพทย์จะเริ่มให้การรักษา
แล้วผู้ป่วยต้องทำอย่างไรบ้าง ?
สิ่งที่เราต้องทำเมื่อพบจิตแพทย์คือเล่าปัญหาให้แพทย์ฟัง ทั้งอาการไม่สบายที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทำให้เราเครียด ชีวิตส่วนตัวทั้งในปัจจุบันและในอดีต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แพทย์จะค่อย ๆ ถามให้ผู้ป่วยเล่าออกมาได้เองโดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นจะต้อง "ท่องมา" หรือ "เรียบเรียง" เอาไว้ก่อน ผู้ป่วยเพียงแต่เล่าตามที่แพทย์ถามเท่าที่จะเล่าได้ เรื่องที่ลำบากใจยังไม่อยากเล่าก็เก็บไว้ก่อน เอาไว้พร้อมที่จะเล่าแล้วค่อยเล่าก็ได้ จิตแพทย์จะไม่คาดคั้นเอาให้ได้ครับ
จากนั้นก็ให้ฟัง!เมื่อแพทย์ได้ข้อมูลมากพอแพทย์จะอธิบายว่าท่านป่วยเป็นอะไร จะต้องปฏิบัติอย่างไร ตรงนี้ให้ตั้งใจฟัง อาจถามแพทย์ตรงที่ไม่ค่อยเข้าใจหรือให้ข้อมูลเพิ่ม ในกรณีที่ฟังแล้วมันไม่ใช่ไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่งานหลักในช่วงนี้คือ ฟัง เพราะการพูดแทรกเกินจำเป็นจะทำให้เสียเวลามาก และแพทย์อาจตัดทอนเรื่องที่จะอธิบายบางเรื่องออกไปทำให้ผู้ป่วยเสียประโยชน์
จิตแพทย์เอาแต่ให้ยาใช่หรือไม่ ?
การรักษาทางจิตเวชนั้นมีทั้งการรักษาด้วยยาและการรักษาทางจิตวิทยา (ให้คำปรึกษา จิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด ฯลฯ) โรคบางโรคเรารักษาด้วยวิธีทางจิตวิทยาเป็นหลัก แต่ในบางโรคต้องรักษาด้วยยาเป็นหลัก และบางโรครักษาด้วยทั้ง 2 วิธีร่วมกัน โดยทั่วไปจิตแพทย์จะให้การรักษาทางจิตวิทยาด้วยทุกครั้ง สั้นบ้างยาวบ้าง ขึ้นกับความจำเป็น และสถานการณ์ เช่น ถ้ามีเวลามากแพทย์อาจให้คำปรึกษา หรือทำจิตบำบัดรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งค่อนข้างนาน แต่ในกรณีที่ข้างนอกยังมีผู้ป่วยรออีกหลายคน แพทย์อาจเพียงให้คำแนะนำสั้น ๆ แต่ถ้าผู้ป่วยกำลังมีอาการมาก และจำเป็นต้องให้การบำบัดทางจิตวิทยา แพทย์ก็อาจจะจำเป็นจะต้องปล่อยให้คนข้างนอกรอนานหน่อย
ผู้ป่วยหลาย ๆ คนมักกลัวว่าจิตแพทย์จะให้กินยาแล้วจะติดยา เลิกไม่ได้ หรือกลายเป็น "ซอมบี้" ไป ยานั้นอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดของผู้ป่วยก็จริง แต่ยามีประโยชน์และช่วยให้ผู้ป่วยสบายเร็วขึ้น ยาทางจิตเวชในปัจจุบันมีความปลอดภัยสูง มีทั้งชนิดที่ทำให้ง่วงและชนิดที่ไม่ทำให้ง่วง และยาส่วนใหญ่ไม่เสพติดโดยเฉพาะเมื่อใช้ให้ถูกวิธี
จิตเเพทย์
เมื่อไรจึงควรไปพบจิตแพทย์ (infomental)
โดย นพ.สเปญ อุ่นอนงค์
เมื่อมีใครบอกว่าเราควรไปพบจิตแพทย์ เรามักเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะบังอาจมาหาว่าเราบ้าหรือนี่ แต่ในความเป็นจริงผู้ป่วยที่มาพบจิตแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ "บ้า" โดยเฉพาะในปัจจุบันจะมีผู้ป่วยคนไทยเดินเข้ามาขอพบจิตแพทย์เองเป็นจำนวนมาก เพราะผู้คนมีการศึกษาดีขึ้น
ไม่ได้บ้าแล้วทำไมเขาต้องมาพบจิตแพทย์กันด้วยล่ะ ?
ปัญหาที่ทำให้ต้องมาพบจิตแพทย์โดยไม่ได้เป็นบ้าได้แก่
มีเรื่องกลุ้มใจคิดไม่ตก ทำให้เครียด ปวดหัว นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย
อยู่ ๆ ก็เกิดอาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้ง่าย อยากตาย โดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้เครียด
เกิดอาการใจสั่น หายใจไม่ทัน กลัวตายชึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้น ไปหาหมอทีไรก็ตรวจไม่พบความผิดปกติ
กลัวความสูง กลัวลิฟท์ กลัวแมลงสาบ ประหม่ากลัวคนมอง
ย้ำคิดย้ำทำ ปิดประตูแล้วต้องดูซ้ำ ๆ หลาย ๆ เที่ยว หรือกลัวความสกปรก ล้างมือตั้งหลายเที่ยวก็ยังรู้สึกไม่สะอาดอยู่ดี
เป็นคนอมทุกข์ หาความสุขไม่ค่อยได้ ทั้ง ๆ ที่อะไร ๆ ก็เพียบพร้อม
คบกับใครไม่ได้นาน จะต้องมีปัญหาร่ำไป และมักเป็นปัญหาคล้าย ๆ กันซ้ำ ๆ
แล้วที่เป็น "บ้า" จริง ๆ ล่ะเป็นยังไง ?
คนที่เป็น "บ้า" "เพี้ยน" ซึ่งเราเรียกว่า "โรคจิต" หรือ "Psychosis" คือคนที่แยกแยะความเป็นจริงไม่ได้ทำให้เกิดอาการระแวง หลงเชื่อผิด เช่น คิดว่ามนุษย์ต่างดาวจะมาจับตัว คิดว่าคนในโทรทัศน์มาด่าตน คิดว่ามีจระเข้อยู่ในท้อง บางคนจะมีประสาทหลอนด้วย เช่น ได้ยินเสียงคนที่ตายไปแล้วมาชวนไปอยู่ด้วย หรือเห็นภูติผีปีศาจ หรือทำอะไรประหลาด ๆ เช่น ออกไปยืนเพ่งพระอาทิตย์ ออกมาแก้ผ้าแก้ผ่อนออกมาตะโกนโหวกเหวกตามท้องถนน
จะเห็นว่าอาการของคน "บ้า" นั้นต่างจากพวกเราและคนทั่วไปมาก ในขณะที่อาการของคนที่ไม่ได้บ้านั้นมีหลายอย่าง ที่บางครั้งเราเองก็เคยเป็นแต่ก็ไม่ได้มาพบจิตแพทย์ นั่นเป็นเพราะอาการของโรคทางจิตเวชที่ไม่ได้ "บ้า" นั้นเป็นอาการที่คนทั่วไปก็เป็นได้แต่ไม่รุนแรงมาก แต่ถ้าเราเกิดอาการต่าง ๆ นี้มากจน
1. รู้สึกเป็นทุกข์ทรมานมาก (distressed)
2. เสียงานเสียการ (dysfunction)
3. ให้เราต้องทำอะไรที่อาจเกิดผลร้ายตามมา (maladaptive) เช่น ทำร้ายตนเอง ทำลายข้าวของ เสพยาเสพติด
แบบนี้เราจึงจะจัดว่าสุขภาพจิตไม่ดี ป่วยทางจิตเวชแล้ว และแม้จะเป็นการป่วยที่ยังไม่ "บ้า" แต่ก็ควรพบจิตแพทย์ครับ
โดย นพ.สเปญ อุ่นอนงค์
เมื่อมีใครบอกว่าเราควรไปพบจิตแพทย์ เรามักเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะบังอาจมาหาว่าเราบ้าหรือนี่ แต่ในความเป็นจริงผู้ป่วยที่มาพบจิตแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ "บ้า" โดยเฉพาะในปัจจุบันจะมีผู้ป่วยคนไทยเดินเข้ามาขอพบจิตแพทย์เองเป็นจำนวนมาก เพราะผู้คนมีการศึกษาดีขึ้น
ไม่ได้บ้าแล้วทำไมเขาต้องมาพบจิตแพทย์กันด้วยล่ะ ?
ปัญหาที่ทำให้ต้องมาพบจิตแพทย์โดยไม่ได้เป็นบ้าได้แก่
มีเรื่องกลุ้มใจคิดไม่ตก ทำให้เครียด ปวดหัว นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย
อยู่ ๆ ก็เกิดอาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้ง่าย อยากตาย โดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้เครียด
เกิดอาการใจสั่น หายใจไม่ทัน กลัวตายชึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้น ไปหาหมอทีไรก็ตรวจไม่พบความผิดปกติ
กลัวความสูง กลัวลิฟท์ กลัวแมลงสาบ ประหม่ากลัวคนมอง
ย้ำคิดย้ำทำ ปิดประตูแล้วต้องดูซ้ำ ๆ หลาย ๆ เที่ยว หรือกลัวความสกปรก ล้างมือตั้งหลายเที่ยวก็ยังรู้สึกไม่สะอาดอยู่ดี
เป็นคนอมทุกข์ หาความสุขไม่ค่อยได้ ทั้ง ๆ ที่อะไร ๆ ก็เพียบพร้อม
คบกับใครไม่ได้นาน จะต้องมีปัญหาร่ำไป และมักเป็นปัญหาคล้าย ๆ กันซ้ำ ๆ
แล้วที่เป็น "บ้า" จริง ๆ ล่ะเป็นยังไง ?
คนที่เป็น "บ้า" "เพี้ยน" ซึ่งเราเรียกว่า "โรคจิต" หรือ "Psychosis" คือคนที่แยกแยะความเป็นจริงไม่ได้ทำให้เกิดอาการระแวง หลงเชื่อผิด เช่น คิดว่ามนุษย์ต่างดาวจะมาจับตัว คิดว่าคนในโทรทัศน์มาด่าตน คิดว่ามีจระเข้อยู่ในท้อง บางคนจะมีประสาทหลอนด้วย เช่น ได้ยินเสียงคนที่ตายไปแล้วมาชวนไปอยู่ด้วย หรือเห็นภูติผีปีศาจ หรือทำอะไรประหลาด ๆ เช่น ออกไปยืนเพ่งพระอาทิตย์ ออกมาแก้ผ้าแก้ผ่อนออกมาตะโกนโหวกเหวกตามท้องถนน
จะเห็นว่าอาการของคน "บ้า" นั้นต่างจากพวกเราและคนทั่วไปมาก ในขณะที่อาการของคนที่ไม่ได้บ้านั้นมีหลายอย่าง ที่บางครั้งเราเองก็เคยเป็นแต่ก็ไม่ได้มาพบจิตแพทย์ นั่นเป็นเพราะอาการของโรคทางจิตเวชที่ไม่ได้ "บ้า" นั้นเป็นอาการที่คนทั่วไปก็เป็นได้แต่ไม่รุนแรงมาก แต่ถ้าเราเกิดอาการต่าง ๆ นี้มากจน
1. รู้สึกเป็นทุกข์ทรมานมาก (distressed)
2. เสียงานเสียการ (dysfunction)
3. ให้เราต้องทำอะไรที่อาจเกิดผลร้ายตามมา (maladaptive) เช่น ทำร้ายตนเอง ทำลายข้าวของ เสพยาเสพติด
แบบนี้เราจึงจะจัดว่าสุขภาพจิตไม่ดี ป่วยทางจิตเวชแล้ว และแม้จะเป็นการป่วยที่ยังไม่ "บ้า" แต่ก็ควรพบจิตแพทย์ครับ
วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับจิตวิทยา
บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับจิตวิทยา
บทวิทยุต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา RADIO PRODUCTION I ชื่อรายการเป็นชื่อสมมติไม่เกี่ยวข้องกับรายการจิตวิทยาเพื่อคุณที่ออกอากาศจริงในคลื่นวิทยุจุฬาฯแต่อย่างใด
นำมาเผยแพร่เพื่อจุดประสงค์ให้ความรู้และการศึกษา
ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้า
ถอดเทปรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ
สัมภาษณ์อาจารย์สมบุญ จารุเกษมทวี
เมื่อวันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2550
สัมภาษณ์โดย นายต่อทอง ทองหล่อ
ผู้สัมภาษณ์ :
สวัสดีครับคุณผู้ฟัง วันนี้กลับมาพบกับรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ ทุกวันพฤหัสบดีนะครับ วันนี้ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์สมบุญ จารุเกษมทวี ซึ่งเป็นอาจารย์คณะจิตวิทยา เป็นอาจารย์หนุ่มไฟแรงนะครับ สวัสดีครับอาจารย์
อาจารย์สมบุญ :
ครับ สวัสดีครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
ครับ อาจารย์ครับ ทุกวันนี้เราก็ได้ยินข่าวสารเกี่ยวกับจิตวิทยามาค่อนข้างมากนะครับ จึงอยากทราบในมุมมองของอาจารย์ว่า บทบาทวิชาชีพจิตวิทยานั้นเป็นอย่างไรครับ
อาจารย์สมบุญ :
ครับ จริงๆจิตวิทยานะครับ ก็เป็นการศึกษาและก็เป็นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาเนี่ยใช้กับคนนะครับ คือเราทำงานกับคน ทำงานในเรื่องการส่งเสริมให้คนเนี่ย สามารถทำงานได้ เข้าใจตนเอง และทำงานได้เต็มศักยภาพที่เขามี และอันที่สองก็คือ เชิงป้องกัน คือป้องกันไม่ให้คนในสังคมเนี่ยมีความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าหรือความรู้สึกที่ไม่ดีกับตัวเองเนี่ยมากจนเกินไป อันที่สามก็คือแก้ไข ในกรณีที่คนเนี่ย มีความเครียดมากเกินไปและก็ใช้กลวิธีต่างๆ กลวิธีทางจิตวิทยาในการที่จะลดความเครียดตรงนั้นช่วยให้เขาจัดการกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
อืม อยากจะให้ลองยกตัวอย่าง เกี่ยวกับการส่งเสริมน่ะครับ
อาจารย์สมบุญ :
โดยความเชื่อพื้นฐาน เราเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพทำสิ่งต่างๆ ทำงานน่ะนะครับ เต็มตามศักยภาพที่เขามี ทีนี้เนี่ยเราก็เอาความรู้ตรงนี้ไปทำไปพัฒนาให้เขาให้เกิดความรู้สึกว่าเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เขาเข้าใจตนเอง แต่ก่อนที่เขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเนี่ย คือจะต้องเข้าใจศักยภาพของตนเอง เราก็ใช้กลวิธีการต่างๆ การพูดคุย หรือแบบทดสอบ แบบวัดเนี่ย ทำให้เขารู้จักตนเอง และเมื่อเขารู้จักตนเอง เขาก็จะสามารถทำสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเขาได้อย่างเต็มตามศักยภาพที่เขามีครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
เคยได้ยินว่าสังคมทั่วไปจะพูดครับว่า จิตวิทยาเรียนแล้วอ่านใจคนได้ ไม่ทราบจริงเท็จแค่ไหนครับ
อาจารย์สมบุญ : อันนี้ผมขอตอบกว้างๆว่า ทั้งจริงและไม่จริงนะครับ ในส่วนที่ไม่จริงเนี่ย คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเข้าไปอ่านใจคนได้อย่างแบบลึกซึ้ง แต่ในแง่ที่จริงนั้น นักจิตวิทยาจะมีเวลาเรียนหรือเวลาได้รับการฝึก เราจะฝึกให้มีทักษะบางอย่างน่ะนะครับ ที่จะทำให้เราพูดคุยกับผู้คนอื่น แล้วคนเหล่านั้นเกิดความไว้ใจในตัวเรา พอเขาไว้วางใจในตัวเราเนี่ย เขาก็จะระบายความคิดความรู้สึกของเขา มันก็นำมาซึ่งการที่เราเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง อันนี้ก็น่าอาจจะเป็นสัญญลักษณ์ของการที่เราเข้าใจคนอื่นครับ
สัมภาษณ์ :
อ๋อ..อย่างนั้นคุณสมบัติของนักจิตวิทยาก็คือ มักเป็นผู้ฟังที่ดีนั่นเอง
อาจารย์สมบุญ :
เราจะเป็นผู้ฟังที่ดี เข้าใจความรู้สึกของบุคคลเหล่านั้นได้อย่างดี อันนี้ก็จะเป็นลักษณะที่เราได้รับการฝึกฝนมา ซึ่งถ้าเป็นอาชีพอื่นอาจจะมีการฝึกทักษะในเรื่องของการสื่อสารที่แตกต่างกันไปครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
ทีนี้เราขอมายกเรื่องฮอตๆบ้างนะครับ เช่น เรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งน่ะครับ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น แล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ค่อนข้างสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของบ้านเมืองนะครับ อยากทราบว่าบทบาทของนักจิตวิทยาจะสามารถเข้าไปช่วยในเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการเลือกตั้งได้อย่างไรครับ
อาจารย์สมบุญ :
อันนี้เนี่ย ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเนี่ย เราโดยส่วนตัวเนี่ยในฐานะนักจิตวิทยาเนี่ย เราเชื่อว่าถ้าคนเราเนี่ยมีคุณภาพใจที่ดีนะครับ อย่างในกรณีถ้าเราเป็นนักการเมือง ถ้านักจิตวิทยามีบทบาทที่จะเข้าไปพัฒนาคุณภาพใจให้กับนักการเมืองเนี่ย เขาก็จะสามารถเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพที่ดี ซื่อสัตย์ แต่นี้ก็ต้องหมายความว่า เรามีโอกาสที่จะเข้าไปในการพัฒนาจิตใจของนักการเมืองด้วยนะครับ ในแง่ของประชาชนทั่วไปเนี่ย ถ้าประชาชนทั่วไปมีคุณภาพจิตใจที่ดี ซื้อเสียงไม่ได้ มีความมั่นคงที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีคุณภาพใจที่ดีเนี่ย เราก็เชื่อว่า เขาก็จะแสดงออกในลักษณะเลือกผู้แทนที่ดี อย่างนี้นะครับ อันนี้ก็น่าจะ น่าจะเป็นลักษณะบทบาทของเรา คือเราเข้าไปพัฒนาจิตใจทั้งนักการเมือง พัฒนาจิตใจของประชาชนทั่วไปเพื่อให้เขาทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดีครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
โดยสรุปก็คือ จิตวิทยานี้ช่วยในการทั้งส่งเสริม ป้องกันและก็การแก้ไข และก็นอกจากนั้นก็แบบมีความสำคัญต่อทางการเมืองด้วยครับผม ในวันนี้รายการจิตวิทยาเพื่อคุณ หมดเวลาแล้วครับ สวัสดีครับผม.
บทวิทยุต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา RADIO PRODUCTION I ชื่อรายการเป็นชื่อสมมติไม่เกี่ยวข้องกับรายการจิตวิทยาเพื่อคุณที่ออกอากาศจริงในคลื่นวิทยุจุฬาฯแต่อย่างใด
นำมาเผยแพร่เพื่อจุดประสงค์ให้ความรู้และการศึกษา
ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้า
ถอดเทปรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ
สัมภาษณ์อาจารย์สมบุญ จารุเกษมทวี
เมื่อวันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2550
สัมภาษณ์โดย นายต่อทอง ทองหล่อ
ผู้สัมภาษณ์ :
สวัสดีครับคุณผู้ฟัง วันนี้กลับมาพบกับรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ ทุกวันพฤหัสบดีนะครับ วันนี้ผมได้รับเกียรติจากอาจารย์สมบุญ จารุเกษมทวี ซึ่งเป็นอาจารย์คณะจิตวิทยา เป็นอาจารย์หนุ่มไฟแรงนะครับ สวัสดีครับอาจารย์
อาจารย์สมบุญ :
ครับ สวัสดีครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
ครับ อาจารย์ครับ ทุกวันนี้เราก็ได้ยินข่าวสารเกี่ยวกับจิตวิทยามาค่อนข้างมากนะครับ จึงอยากทราบในมุมมองของอาจารย์ว่า บทบาทวิชาชีพจิตวิทยานั้นเป็นอย่างไรครับ
อาจารย์สมบุญ :
ครับ จริงๆจิตวิทยานะครับ ก็เป็นการศึกษาและก็เป็นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาเนี่ยใช้กับคนนะครับ คือเราทำงานกับคน ทำงานในเรื่องการส่งเสริมให้คนเนี่ย สามารถทำงานได้ เข้าใจตนเอง และทำงานได้เต็มศักยภาพที่เขามี และอันที่สองก็คือ เชิงป้องกัน คือป้องกันไม่ให้คนในสังคมเนี่ยมีความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าหรือความรู้สึกที่ไม่ดีกับตัวเองเนี่ยมากจนเกินไป อันที่สามก็คือแก้ไข ในกรณีที่คนเนี่ย มีความเครียดมากเกินไปและก็ใช้กลวิธีต่างๆ กลวิธีทางจิตวิทยาในการที่จะลดความเครียดตรงนั้นช่วยให้เขาจัดการกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
อืม อยากจะให้ลองยกตัวอย่าง เกี่ยวกับการส่งเสริมน่ะครับ
อาจารย์สมบุญ :
โดยความเชื่อพื้นฐาน เราเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพทำสิ่งต่างๆ ทำงานน่ะนะครับ เต็มตามศักยภาพที่เขามี ทีนี้เนี่ยเราก็เอาความรู้ตรงนี้ไปทำไปพัฒนาให้เขาให้เกิดความรู้สึกว่าเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เขาเข้าใจตนเอง แต่ก่อนที่เขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเนี่ย คือจะต้องเข้าใจศักยภาพของตนเอง เราก็ใช้กลวิธีการต่างๆ การพูดคุย หรือแบบทดสอบ แบบวัดเนี่ย ทำให้เขารู้จักตนเอง และเมื่อเขารู้จักตนเอง เขาก็จะสามารถทำสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเขาได้อย่างเต็มตามศักยภาพที่เขามีครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
เคยได้ยินว่าสังคมทั่วไปจะพูดครับว่า จิตวิทยาเรียนแล้วอ่านใจคนได้ ไม่ทราบจริงเท็จแค่ไหนครับ
อาจารย์สมบุญ : อันนี้ผมขอตอบกว้างๆว่า ทั้งจริงและไม่จริงนะครับ ในส่วนที่ไม่จริงเนี่ย คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเข้าไปอ่านใจคนได้อย่างแบบลึกซึ้ง แต่ในแง่ที่จริงนั้น นักจิตวิทยาจะมีเวลาเรียนหรือเวลาได้รับการฝึก เราจะฝึกให้มีทักษะบางอย่างน่ะนะครับ ที่จะทำให้เราพูดคุยกับผู้คนอื่น แล้วคนเหล่านั้นเกิดความไว้ใจในตัวเรา พอเขาไว้วางใจในตัวเราเนี่ย เขาก็จะระบายความคิดความรู้สึกของเขา มันก็นำมาซึ่งการที่เราเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง อันนี้ก็น่าอาจจะเป็นสัญญลักษณ์ของการที่เราเข้าใจคนอื่นครับ
สัมภาษณ์ :
อ๋อ..อย่างนั้นคุณสมบัติของนักจิตวิทยาก็คือ มักเป็นผู้ฟังที่ดีนั่นเอง
อาจารย์สมบุญ :
เราจะเป็นผู้ฟังที่ดี เข้าใจความรู้สึกของบุคคลเหล่านั้นได้อย่างดี อันนี้ก็จะเป็นลักษณะที่เราได้รับการฝึกฝนมา ซึ่งถ้าเป็นอาชีพอื่นอาจจะมีการฝึกทักษะในเรื่องของการสื่อสารที่แตกต่างกันไปครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
ทีนี้เราขอมายกเรื่องฮอตๆบ้างนะครับ เช่น เรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งน่ะครับ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น แล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ค่อนข้างสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของบ้านเมืองนะครับ อยากทราบว่าบทบาทของนักจิตวิทยาจะสามารถเข้าไปช่วยในเรื่องเกี่ยวกับการเมืองการเลือกตั้งได้อย่างไรครับ
อาจารย์สมบุญ :
อันนี้เนี่ย ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเนี่ย เราโดยส่วนตัวเนี่ยในฐานะนักจิตวิทยาเนี่ย เราเชื่อว่าถ้าคนเราเนี่ยมีคุณภาพใจที่ดีนะครับ อย่างในกรณีถ้าเราเป็นนักการเมือง ถ้านักจิตวิทยามีบทบาทที่จะเข้าไปพัฒนาคุณภาพใจให้กับนักการเมืองเนี่ย เขาก็จะสามารถเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพที่ดี ซื่อสัตย์ แต่นี้ก็ต้องหมายความว่า เรามีโอกาสที่จะเข้าไปในการพัฒนาจิตใจของนักการเมืองด้วยนะครับ ในแง่ของประชาชนทั่วไปเนี่ย ถ้าประชาชนทั่วไปมีคุณภาพจิตใจที่ดี ซื้อเสียงไม่ได้ มีความมั่นคงที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีคุณภาพใจที่ดีเนี่ย เราก็เชื่อว่า เขาก็จะแสดงออกในลักษณะเลือกผู้แทนที่ดี อย่างนี้นะครับ อันนี้ก็น่าจะ น่าจะเป็นลักษณะบทบาทของเรา คือเราเข้าไปพัฒนาจิตใจทั้งนักการเมือง พัฒนาจิตใจของประชาชนทั่วไปเพื่อให้เขาทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดีครับ
ผู้สัมภาษณ์ :
โดยสรุปก็คือ จิตวิทยานี้ช่วยในการทั้งส่งเสริม ป้องกันและก็การแก้ไข และก็นอกจากนั้นก็แบบมีความสำคัญต่อทางการเมืองด้วยครับผม ในวันนี้รายการจิตวิทยาเพื่อคุณ หมดเวลาแล้วครับ สวัสดีครับผม.
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553
อาชีพที่ใฝ่ฝัน

อาชีพที่ใฝ่ฝันคือ จิตแพทย์ค่ะ
เพราะคิดว่าคนไทย
มีปัญหาทางด้านจิตกันมาก
แต่ไม่ยอมรับ
และไม่ยอมปรึกษาจิตแพทย์
และอาจจะเพราะจิตแพทย์มีไม่พอ
คนจนไม่มีสิทธิ์พบจิตแพทย์
เพราะกลัวค่าเข้าพบจะแพง
แต่ที่จริง
ฉันอยากให้ประเทศไทยเปิดกว้างมากกว่านี้
เพราะที่ต่างประเทศอย่างอเมริกา
คนของประเทศเขามีการเข้าพบจิตแพทย์กันเป็นว่าเล่น
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องอายกัน
ที่เขาไปปรึกษาเพราะมีปัญหาเพื่อหาทางออก
ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าเค้าจะหาว่าเป็น "คนบ้า"
เพราะมันไม่จริง เราแค่ต้องการทางออกเท่านั้น
และหากคุณลองไปพบจิตแพทย์สักครั้ง
เชื่อสิว่ามันจะต้องมีครั้งที่สอง-สามแน่นอน
เพราะคุณจะรู้สึกว่า
คุณสบายใจที่ได้ระบายในสิ่งที่คุณค้างคาใจมานาน
คุณจะรู้สึกว่าคุณได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง คนที่คอยช่วยแก้ปัญหา และมีคำแนะนำดีๆให้คุณเสมอ
และสุขภาพจิตของคุณจะดีขึ้น
หน้าที่เคยหมองเคล้า สิวเต็มหน้า เพราะความเครียดจะหายไป
เมื่อรู้ว่าการพบจิตแพทย์มันดีอย่างไร
ก็ถึงเวลาที่คุณต้องถามตัวเองแล้วว่า...
คุณพบจิตแพทย์หรือยัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)